เป็นลูกจ้าง ไม่มีวันรวย บทความแห่งปี

วางแผนการเก็บเงิน
การเก็บเงิน

เข้าสู่ชีวิตการทำงานอย่างเต็มตัว เด็กใหม่อย่างเราก็ยังไฟแรงกับการทำงานอยู่ แต่ถ้าลองมามองและคิดๆดู ว่าเราจะทำงานอย่างนี้ตลอดไปได้หรือ แล้วถ้าสมมติวันหนึ่ง ถ้าเราทำงานไม่ได้ จะเป็นอย่างไร เงินที่เราเก็บไว้มันจะพอใช้หรือไม่ มาดูความเป็นจริงคร่าวๆ

เด็กใหม่หรือไม่ว่าจะวัยทำงาน อย่างเราๆท่านๆ ลองคิดเล่นๆนะครับ ว่าสมมติเราเก็บเงินเดือนละ 5,000.- บาท และสมมติว่าเราจะเก็บเงินไปจนถึงอายุ 45 ปี เราจะมีเงินเก็บรวมอยู่แค่ 1,320,000.- บาท
หรือถ้าเราเก็บมากกว่านั้น ถ้าเราเก็บเดือนละ 10,000.- บาท ถึงตอน 45 เราจะมีเงินเก็บอยู่ที่ 2,640,000 บาท เท่านั้นเอง

กราฟเงินเก็บ

ตารางเงินเก็บ

เกิดคำถามว่า เงินเก็บก้อนนี้ที่เราเก็บว่ากว่าครึ่งชีวิตนี้ มันพอไหม และในความเป็นจริงแล้ว เราอาจจะเก็บไม่ได้ขนาดนั้นก็ได้และไม่ได้ต่อเนื่องขนาดนั้น เอาง่ายๆ สมมติเงินเดือนเด็กใหม่ 2 หมื่นบาท ลองมาคำนวณค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนดูว่ามีค่าอะไรบ้าง

– ค่าโทรศัพท์ ~300.-

– ค่าอินเทอร์เน็ต ~600.-

– ค่าเช่าบ้าน/หอ ~3,500.-

– ค่าน้ำ/ไฟ ~1,000.-

– ค่ากินค่าอยู่(วันละสองร้อย) ~6,000.-

-ค่าจิปาถะอิ่นๆ เช่นไปเที่ยว ซื้อของใช้สอยส่วนตัว ~3,000.-

ตีอย่างต่ำๆ ไว้แล้วนะครับ อาจจะมีค่าอย่างอื่นอีกมากมาย ที่ยังไม่ได้นับเข้ามา อย่าลืมว่ารายจ่ายเรามีหลายช่องทางมาก แต่รายรับเรามีอยู่ทางเดียว คือเงินเดือน ดังนั้นผมคิดว่าแนวโน้มคร่าวๆ มันจะต้องเป็นไปตามกราฟที่จำลองขึ้น และโอกาสที่จะเป็นจริงค่อนข้างจะมาก  ถ้าเราเก็บเงินอย่างมากได้เดือนละห้าพัน อย่างมากเราก็จะมีเงินตอนอายุ 45 เพียงล้านนิดๆ เท่านั้นเอง และอย่าลิมมา เงินเฟ้อมันก็ยังไล่ตามเราอยู่ทุกวัน ค่าเงินก็ยิ่งจะน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเงินเท่านี้ ไม่พอแน่นอนครับ ไหนต้องดูแลครอบครัว สมมติซื้อรถ ซื้อบ้าน ก็หมดแล้ว

การตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียวจึงไม่รวย และมีความเสี่ยงมาก ถ้าเรายังทำกันอยู่แบบนี้  และผมได้อ่านบทความ บทความนึงที่ให้ข้อคิดดีๆ ให้น่าเก็บไปคิด เอามาฝากด้วยครับ

“เป็นลูกจ้าง ไม่มีวันรวย” ……..คุณไม่มีวันรวยจริงถ้ามัวแต่ทำงานให้คนอื่น…

คุณไม่มีวันรวยจริงถ้ามัวแต่ทำงานให้คนอื่น… อ้าวถ้าทุกคนเป็นเถ้าแก่กันหมด แล้วเถ้าแก่จะหาแรงงานมาจากไหนล่ะ

Jeff Haden มีบทความเรื่อง คนรวย รวยได้ไง (How the Rich Got Rich) มีการสรุปผลสำรวจของสรรพากรสหรัฐประจำปีที่สอบถามผู้เสียภาษี 400 คนที่ขอภาษีคืนสูงที่สุด (กลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อคนในปี 2009 เท่ากับ 202.4 ล้านดอลลาร์)   ได้ผลออกมาว่า พวกเขารวยเพราะ

9%     เป็นลูกจ้าง
7%      ได้ดอกเบี้ย
13%    ได้เงินปันผล
20%    เป็นเจ้าของกิจการหรือร่วมหุ้นทำกิจการ
46%    ได้กำไรในการลงทุนในหลักทรัพย์ (Capital gain)

งานวิจัยนี้ระบุว่า 400 คนในงานสำรวจนี้ ได้เงินจากกำไรในการลงทุนในหลักทรัพย์ (Capital gain) เฉลี่ยต่อคนถึง 92.6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 16% ของ Capital Gain ที่ผู้เสียภาษีทั้งสหรัฐได้รับเลยทีเดียว Jeff Haden จึงสรุปว่า

1. การเป็นลูกจ้างอย่างเดียว ไม่มีวันรวย
2. การลงทุนโดยไม่ยอมรับความเสี่ยงเลย ไม่มีวันรวย
3. การลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ๆ อย่างเดียว ก็ไม่ทำให้รวย
4. การเป็นเถ้าแก่ ไม่ว่าจะบริษัทเดียวหรือหลายๆ บริษัท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว หรือเป็น หุ้นส่วน ทำให้รวยจริง

อ่านมาถึงตรงนี้ สรุปได้ว่า เราไม่มีวันรวย หากเราไม่กล้าเสี่ยง และไม่มีทางรวยจริงๆ ถ้ามัวแต่ทำงานให้คนอื่นนอกจากทำงานให้ตัวเอง

ยังไม่ต้องรีบร้อนไปลาออกจากงาน แล้วไปเป็นเถ้าแก่กันหมด เพราะมันก็มีข้อยกเว้นบ้าง และหากแห่ไปเป็นเถ้าแก่กันหมด เถ้าแก่ก็ไม่มีแรงงานสิ

เพราะยังมีถึง 46% อันเป็นสัดส่วนสูงที่สุด ที่รวยเพราะได้กำไรในการลงทุนในหลักทรัพย์ (Capital gain)
หมายความว่าเป็นลูกจ้างเขาก็ลงทุนได้ใช่ไหม

ใช่ หากกล้ารับความเสี่ยงในการลงทุน

เป็นลูกจ้างเขา ถ้าเอาแต่ฝากเงินอย่างเดียว หรือมัวแต่ลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ ไม่รวยแน่ๆ และอาจจะไม่พอใช้ในบั้นปลายชีวิตเสียด้วยซ้ำ

ทำไมล่ะ

ก็เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับมันจะถูกเงินเฟ้อกินไปหมดน่ะสิ

Jim Cramer เจ้าของและผู้จัดทำรายการ Mad Money ช่อง CNBC บอกว่า “หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนอื่นทุกชนิด (อย่ากลัวความเสี่ยงจนไม่กล้าลงทุนระยะยาวในหุ้น) และมีหุ้นเป็นพันๆ ตัวในตลาดที่ทำให้เรารวยได้ และไม่เกี่ยวกับงานที่เราทำ (ทำงานอย่างเดียวโดยไม่ลงทุน ไม่รวย)”

แต่มันก็ยากที่จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะให้กำไรเรานะ

ใช่  ไม่งั้น Charlie Munger มือขวาของคุณปู่ Warren Buffet คงไม่บอกหรอกว่า ถ้าการลงทุนมันไม่ยากสักหน่อย ใครๆ ก็รวยแล้วสิ
แต่หลายคนลงทุนในหุ้นแล้วเจ๊งนะ

ก็ใช่ แต่ก็มีอีกหลายคนที่รวยจากหุ้นไม่ใช่หรือ เมื่อเลือกเองไม่เป็น ก็ลงทุนผ่านกองทุนรวมสิ

อืม … อยากรวยจัง  แต่กลัวเขาทำขาดทุนน่ะสิ

ถ้ากลัวๆ อยากๆ อยู่อย่างนี้ ให้ฟังที่คุณปู่ John (Jack) Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาดูแล้วกัน

คุณปู่แจ็ค พูดว่า ถ้ารับการขาดทุนในหุ้นสัก 20% ไม่ไหว ก็ไม่ควรไปยุ่งกับหุ้น (ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนในหุ้นต้องเข้าใจและยอมรับได้)

แล้วจงตัดสินใจเองว่าเราจะเพียงพอที่แค่ไหน  เพราะบางทีคนที่ดูเหมือนรวยมากๆ ก็เป็นยาจกในสายตาเรา เพราะเขาไม่เคยพอก็มีไม่ใช่หรือ

วรวรรณ ธาราภูมิ

ข้อมูลจากเว็บไซต์กองทุนบัวหลวง www.bblam.co.th
เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2556

Share to :
Pongpat Janthai
Pongpat Janthai

Computor Engineering Of Khon Kaen University

Articles: 361